TRENDING: มจธ.สานพลัง บพท. เดินหน้างานวิจัย Read More

TRENDING: สทนช.-บพท.จับมือกันปั้นหลักสูตรนักบริหารจัดการน้ำ Read More

TRENDING: CKPower เดินหน้าส่งไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน Read More

TRENDING: รายงานเชิงนโยบายเผยแผนยุทธศาสตร์ Read More

TRENDING: กทม. เตือนค่าฝุ่นกลับมาสูงอีกครั้ง 30 ม.ค. – 5 ก.พ. นี้ ย้ำงดเผา และ ร่วมจับตารถควันดำ Read More

ตุลาคม 11, 2025

ภารกิจหลัก “วิทัย รัตนากร”ฟื้นเศรษฐกิจ แก้หนี้ครัวเรือน ดูแลค่าเงินบาทและรักษาเงินเฟ้อในระดับที่เหมาะสม ทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชนแบบสอดประสาน

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนที่ 21 นายวิทัย รัตนากร  ใช้เวที GOVERNOR   CONNECT พูดคุยกับสื่อแบบใกล้ชิด เป็นการสร้างสายสัมพันธ์และบอกเล่าแนวทางการทำงาน เป้าหมายที่จะดำเนินการภายใต้การดำรงตำแหน่ง 5 ปีนับจากนี้

แนวทางการทำงานของธปท

สานต่อพันธกิจของธนาคารกลางคือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ดูแลเงินเฟ้อไม่ให้ผันผวน ไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดและเป้าหมายคือทำให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบในระยะปานกลาง  รักษาเสถียรภาพของสถาบันการเงิน ให้เข้มแข็ง มั่นคง  บริการลูกหนี้ประชาชนและธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และดูแลเสถียรภาพระบบการชำระเงิน ให้มีประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของประชาชนด้วยราคาที่สมเหตุสมผล

ที่สำคัญคือจะดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระภายใต้กรอบกฎหมาย และการดำเนินงานร่วมกับหลายหน่วยงาน เพื่อผลักดันนโนบายตลอดจนจะเน้นประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง  ให้เอื้อต่อการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จับต้องได้

ทิศทางในระยะต่อไป คือ การสานต่อแนวนโยบายการพัฒนาภาคการเงิน โดยเฉพาะการวางรากฐานให้ภาคการเงินพร้อมรองรับกับกระแสโลใหม่  และการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทยจะใกล้ชิดกับประชาชนและสังคมมากขึ้น ผ่านการรับฟังมุมมองอย่างรอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินนโยบาย และสื่อสารเข้าถึงประชาชน

“มาตรการที่จะออกจะเน้นการแก้ปัญหาเป็นจุด ๆ และจะต้องตอบได้ว่าประชาชน สังคมและประเทศได้ประโยชน์อะไร โดยเวลาออกมาตรการจะต้องเข้าใจปัญหา ใกล้ชิดประชาชน และสามารถแก้ปัญหาได้บรรลุเป้าหมาย ภายใต้การยึดมั่นเศรษฐกิจมหภาคด้วย”

ขณะเดียวกันสิ่งที่ทำมาแล้ว และอยู่ระหว่างผลักดันเพื่อดำเนินการต่อไป เช่น ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ที่จะเข้ามาช่วยให้คนเข้าถึงบริการทางการเงิน หรือโครงการที่อยู่ระหว่างการตกผลึกที่จะต้องดำเนินการให้เกิดขึ้นจริง เช่น สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เข้าถึงสินเชื่อ หรือการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงผู้กู้ (Risk Based Pricing) และโครงการ Your Data การพัฒนาระบบ Digital Payment เป็นต้น

“มาตรการเฉพาะจุดจะออกมาช่วยลูกหนี้เป็นจุด ๆ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อ สภาพคล่อง ดูแลต้นทุนที่เหมาะสม หรือการแก้หนี้ ซึ่งจะเป็นช่วงของการให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการเฉพาะจุด เพื่อจะเป็นจิ๊กซอว์ เพื่อช่วยเหลือประชาชน”

ส่วนเรื่องการแก้หนี้ที่เป็นปัญหาเรื้อรัง จะใช้การแก้หนี้ผ่านกลไก

บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC โดยมีความร่วมมือกับรัฐบาล กระทรวงการคลัง ธปท. และสมาคมธนาคารไทย (TBA) ในการแก้หนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งจะเป็นมาตรการเฉพาะจุดในการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้ให้สามารถกลับมาดีขึ้น เบื้องต้นแนวคิดการตั้ง National AMC อาจจะไม่ได้มีการตั้งใหม่ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะใช้กลไกแก้หนี้ผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างพุดคุยและเร่งหาข้อสรุปในการพิจารณาเงื่อนไข ทั้งในส่วนของราคาซื้อขาย วิธีการโอนหนี้อย่างไร และเซ็กเมนต์ไหนที่เหมาะสม คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ต.ค.นี้ และเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และจะเริ่มดำเนินการได้ภายในต้นปี 2569

 เงื่อนไขเบื้องต้นจะแก้หนี้ในกลุ่มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เป็นหนี้เสียในอดีตที่มีวงเงินต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งปัจจุบันหนี้กลุ่มนี้จะแบ่งอยู่ใน 4 ก้อน มีหนี้เสียประมาณ 2-3 ล้านราย คือ 1.ธนาคารพาณิชย์ 7 แสนราย 2.ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (น็อนแบงก์ที่เป็นลูกธนาคาร) 8 แสนราย3.สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) 8 แสนราย และ 4.น็อนแบงก์ที่ไม่ใช่ลูกธนาคาร โดยกำลัง..พิจารณาว่าจะทำเซ็กเมนต์ไหนก่อน แต่เฟสแรกจะเริ่มจากธนาคารพาณิชย์ น็อนแบงก์ที่เป็นลูกธนาคาร และ SFIs ส่วนน็อนแบงก์อื่น ๆ อาจจะเอาไว้ในเฟสถัดไป

วิธีการนี้จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยตั้งเป้าหมายว่าไม่ควรจะเกินร้อยละ 80 % ของจีดีพี

“เงินที่จะนำมาใช้ จะเป็นเงินจาก FIDF ที่ธนาคารพาณิชย์นำมาใส่ไว้ในถังกลาง จากการลดเงินนำส่งจาก 0.46% เหลือ 0.23% ที่นำมาใช้ในโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ที่ยังมีเหลืออยู่ นำมาช่วยเหลือคนต่อไป โดยเป้าหมายปลายทางที่ทุกคนอยากไปและอยากเห็นหนี้ครัวเรือนจะ…ลดลงไป 80% แต่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างใช้เวลา และไม่ได้ใช้มาตรการเดียว”

เมื่อพูดถึงการดูแลค่าเงินบาท นายวิจัย บอกวาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่า

4.5% หากเทียบต่างประเทศจะมีประเทศที่แข็งค่ากว่าไทย เช่น ไต้หวัน มาเลเซีย เป็นต้น อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวขึ้นและลงของค่าเงินบาท จะมาจากเงินดอลลาร์และเงินไหลเข้าและไหลออก ซึ่ง ธปท.ได้ติดตามใกล้ชิด โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น

ขณะที่ปัจจัยราคาทองคำนั้น เป็น Amplify หรือส่วนเสริมที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยเฉพาะการเทรดทองคำบนแอปพลิเคชั่น เนื่องจากในช่วงราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณการขาย ส่งผลให้ร้านทองขายดอลลาร์เพื่อซื้อเงินบาท ทำให้เงินบาทแข็ง ซึ่งจุดนี้อยู่ระหว่างพูดคุยกับกระทรวงการคลังและร้านค้าทอง อย่างไรก็ดี ธปท.ไม่ได้จะมีการออกมาตรการ แต่กำลังพิจารณาอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ.เราให้ความสำคัญกับค่าเงิน หากมีเงินไหลเข้าที่ไม่พึงประสงค์ เราก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องทองคำ เราก็กำลังติดตามการซื้อขายทองคำบนแอปพลิเคชั่น ซึ่งมีการพูดคุยกัน เพื่อให้ค่าเงินบาทอยู่ในจุดที่เหมาะสม”

ส่วนกระแสเรียกร้องให้ตั้งกองทุนความมั่งคั่งโดยนำสำรองระหว่างประเทศ มาบริหารจัดการนั้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยย้ำว่ายังไม่คิด “ตั้งกองทุนความมั่งคั่ง” เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นส่วนที่เอาไว้หนุนหลังธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบ ซึ่งการจัดตั้ง “Sovereign Wealth Fund : SWF” ไม่ได้ช่วยเรื่องค่าเงินบาท เนื่องจากเงินทุนสำรองเป็นเงินสกุลเงินตราต่างประเทศ และมีการกระจายในหลายสกุลเงิน รวมถึงทองคำ และมีการจัดการสัดส่วนค่อนข้างดี จึงมองว่าไม่ได้มีผลต่อค่า.เงินบาท”ตั้งไปก็ไม่ช่วยให้เงินบาทอ่อนค่า แต่หากจัดตั้งเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มก็ต้องพิจารณากันอีกครั้ง

เรื่องนโยบายดอกเบี้ยก็ย้ำว่าเราจะมีช่องว่าพอที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา เพราะการลดดอกเบี้ยในครั้งที่ผ่านมาๆ ยังเห็นผลไม่ชัดเจนเช่น การลดดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือน ส.ค. 2568 เนื่องจากผลของการปรับลดดอกเบี้ยจะใช้เวลา 6-12 เดือน ดังนั้น ปัจจุบันอยู่ในจุดรอคอยและรอดูผล และพร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป “ไม่ต้องกังวลว่าจะเห็นเงินฝืด ปัจจุบันยังไม่พบสัญญาณเงินฝืด เนื่องจากเหตุผลที่อัตราเงินเฟ้อต่ำลง จะมาจากราคาน้ำมัน และสินค้าปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟื้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับ 0.9% และยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดราคาลงในวงกว้าง