ไปงานสัมมนาของสำนักข่าวออน์ไลน์ไทยพับลิก้ามา หัวข้อประเทศไทยต้องรอด Save Thailand เรียกว่าได้แนวคิดและได้สติกลับมาคิดอะไรได้หลายอย่าง ไม่ขอตัดทอนข้อความแต่อย่างใด ไปอ่านกัน
: สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จัดงานสัมมนาหัวข้อ “ประเทศไทยต้องรอด Save Thailand Restore.Reframe.Rise” ณ แกรนด์ เซนเตอร์พอยต์ ลุมพินี โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานกรรมการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย, คุณผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเมทริกซ์ คอนซัลติ้ง จำกัด, ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งลิสเซินฟิลด์ และคุณพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน
ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย ปัญหาโครงสร้างที่ต้องปรับตัว
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานกรรมการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้ขยายตัวมากนัก สะท้อนให้เห็นจากอัตราการเติบโตของจีดีพีที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปีค.ศ. 1991-1996 (พ.ศ.2534-2539) ยอดขายของภาคธุรกิจเติบโตเฉลี่ย 13% ขณะที่การเกินดุลงบประมาณเฉลี่ย 2.9% ต่อปี แต่ปัจจุบันเติบโตเพียง 2% และ 3.9% ตามลำดับ นอกจากนี้ธุรกิจ SME เผชิญสถานการณ์ที่แย่กว่าช่วงโควิด-19 จากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ลดต่ำจาก 3 ล้านล้านบาท ในไตรมาส 3/2563 มาที่ 2.8 ล้าน ในปี 2568

ดร.ศุภวุฒิกล่าวโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเปลี่ยน โดยสัดส่วนของการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมต่อ GDP ลดลง แต่สัดส่วนของภาคบริการเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นประเทศไทยควรต้องพึ่งพิงภาคบริการมากขึ้น และหาจุดแข็งใหม่ของภาคสินค้าอุตสาหกรรม
“ในภาพใหญ่ โครงสร้างของประเทศไทยเปลี่ยนไป สัดส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมเทียบกับจีดีพีของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนภาคบริการนั้นเพิ่มขึ้น เพราะเรากำลังพัฒนาประเทศไปสู่การให้บริการมากขึ้น หลายประเทศก็เป็นอย่างนี้หมด ยักษ์ใหญ่ที่สุดในสินค้าภาคอุตสาหกรรมคือ จีน ที่เร่งการผลิตผลิตสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูง แต่จีนก็ยังปิดจุดอ่อนของตัวเองไม่ได้ใน อุตสาหกรรมอาหาร ต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ประเทศไทยเราส่งออกอาหารไปจีน อยู่ในอันดับที่ 5 หรือ 6 ดังนั้น หากเราต้องการจะอยู่รอด ต้องปรับตัวไปสู่ภาคบริการ และภาคการผลิตอาหาร แปรรูปสินค้าเกษตร“
อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภวุฒิกล่าวต่อว่า ภาครัฐต้องสร้างกฎระเบียบ และแก้กฎระเบียบบางอย่าง โดยเฉพาะการปลดล็อกการผูกขาด เพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การกำหนดราคาที่เหมาะสมเรื่องพลังงาน การพัฒนาโลจิสติกส์โดยการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาพัฒนาใช้รางรถไฟได้ ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ดร.ศุภวุฒิยังกล่าวว่า ประเทศไทยควรนำทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันประเทศไทยมีทุนสำรองกว่า 9 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงเกินความจำเป็นตามเกณฑ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่าระดับที่เหมาะสมควรอยู่ราว 100% ของความเพียงพอ แต่ไทยมีอยู่ถึง 239.6% หรือเกินเกณฑ์กว่า 139% ซึ่งเงินก้อนนี้ถูกเก็บโดยไม่ใช้ประโยชน์
ขณะที่กว่า 90 ประเทศทั่วโลก นำทุนสำรองส่วนเกินไปตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว ตัวอย่างเช่นกองทุน GIC (Government of Singapore Investment Corporation) โดยรัฐบาลสิงคโปร์ มีสินทรัพย์มูลค่าประมาณ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างรายได้เข้ารัฐเฉลี่ย 20% ต่อปี
“ถ้าประเทศไทยดึงเงินส่วนนี้ออกไป 1 แสนล้านเหรียญ หรือ 3 ล้านล้านบาท สามารถทำ Sovereign Wealth Fund ได้ทันที…ประเทศไทยมีศักยภาพ ตรงนี้จะปลดล็อกและทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
พลิกวิธีคิดจากรัฐเดินนำ เป็น ‘เอกชนคิด ภาครัฐเอื้อ’
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหาและช่องโหว่หลายด้าน ทั้งจากแรงกดดันต่างประเทศ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการภาษีศุลกากร รวมถึงการแข่งขันด้านการผลิต ขณะเดียวกันปัจจัยภายในประเทศอย่างปัญหาสังคมผู้สูงอายุ หนี้ครัวเรือนสูง และข้อจำกัดด้านนโยบาย ล้วนเป็นแรงกดดันที่อาจทำให้ประเทศถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ
ดร.รุ่งกล่าวต่อว่าว่า ประเทศไทยยังมีจุดแข็งหลายด้าน เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เข้มแข็ง ระบบการเงินที่มั่นคง และภาคธุรกิจเอกชนที่ยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัว แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ถูกนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพ เช่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรกว่า 90% และระบบพร้อมเพย์ (PromtPay) ที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 26% แต่กลับยังไม่ถูกนำมาใช้สร้างความได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
“พื้นฐานประเทศไทยถือว่าดีในระดับหนึ่ง เรามีโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและดิจิทัลที่ดี ระบบการเงินเข้มแข็งพอสมควร ภาคธุรกิจ ภาคเอกชนมีความยึดหยุ่นและพร้อมที่จะปรับตัว แต่ปัญหาของเราคือ ต่อยอดจากพื้นฐานเหล่านี้ไม่ดีนัก ไม่ได้นำข้อมูลที่มีมาใช้ หรือไม่ได้ถูก นำมาใช้ในทางที่ถูกที่ควรที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศ เราคงมีจุดบกพร่อง ช่องโหว่ที่ทำให้ เราใช้สิ่งเหล่านั้นได้ไม่ดีพอ”

ดังนั้น ดร.รุ่ง จึงเสนอ 3 แนวทางสำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างมีคุณภาพ คือ (1) กำหนดทิศทางพัฒนาที่ชัดเจนและสอดคล้องกับทรัพยากรที่มี (2) สร้างกติกาที่เอื้อต่อความสำเร็จและโปร่งใส และ (3) เร่งความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และภาคการเงิน เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
“ประเทศไทยต้องไม่ยึดติดกับแนวคิดว่า ‘ภาครัฐคิด เอกชนทำ’ อีกต่อไป แต่ต้องเป็น ‘เอกชนคิด ภาครัฐเอื้อ’ โดยรัฐไม่ควรลงไปแข่งขันในสิ่งที่เอกชนทำได้ดีกว่า แต่ควรสร้างสภาพแวดล้อมและสนับสนุนอย่างเพียงพอ ขณะที่ภาคการเงินต้องกล้าจัดสรรสินเชื่อเพื่อเสริมศักยภาพเอกชน” ดร.รุ่ง กล่าว
ดร.รุ่ง ยังกล่าวถึงแพลตฟอร์ม “Reinvent Thailand” ในฐานะเวทีความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน การเงิน และรัฐ เพื่อออกแบบนโยบายอย่างมีส่วนร่วม สร้าง “co-creation space” ที่ทุกฝ่ายร่วมกันคิด แก้ไข และขับเคลื่อนปัญหา โดยมีเอกชนเป็นแกนหลัก รัฐทำหน้าที่สนับสนุน และสถาบันการเงินช่วยจัดสรรทรัพยากร เพื่อรักษาอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน ที่กำลังเผชิญภาวะถดถอย
“ถ้าแต่ละฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงใจ ต่อเนื่อง และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ประเทศไทยจะมีพลังฟื้นกลับมาอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน” ดร.รุ่ง ทิ้งท้าย
Connect the Dots รัฐ-เอกชน เปิดพื้นที่ ผสานความร่วมมือ
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยหลายประเด็นถูกหยิบยกถกเถียงมานาน แต่สิ่งที่น่ากังวลคือปัญหาต่างๆ ยังคงเป็นเพียง “วาทกรรม” ที่ไม่ถูกนำไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับขีดความสามารถของประเทศ

นายผยงกล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาแรงงานนอกระบบกว่า 53% ของกำลังแรงงานทั้งหมดที่เรียกร้องสวัสดิการจากรัฐโดยขาดความสมดุล ปัญหาภาษีที่นิติบุคคลอยู่ในระบบเพียง 28% รวมถึงหนี้นอกระบบซึ่งตัวเลขทางการอยู่ที่ 12% แต่ผลสำรวจพบสูงถึง 25% สะท้อนว่าเศรษฐกิจและการเงินไทยยังไม่ inclusive ขาดข้อมูลที่ครอบคลุมและเชื่อถือได้สำหรับการออกแบบนโยบายสาธารณะ อีกทั้งแรงงานในระบบลดลงต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานนอกระบบกลับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ภาคอุตสาหกรรมแข่งขันได้ยาก ธุรกิจใหม่เกิดน้อยกว่าธุรกิจที่ปิดตัวลง ขณะที่สภาพคล่องกว่า 5 ล้านล้านบาทในระบบการเงินไม่สามารถไหลไปสู่การลงทุนภาคจริงได้ สวนทางกับเงินลงทุนไทยที่ไหลออกต่างประเทศมากกว่า 7 ล้านล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นการลงทุนภายในประเทศที่ลดลง
ดังนั้น โจทย์ใหญ่คือการ connect the dots ทั้งด้านข้อมูล กฎกติกา และการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐที่ยังแยกส่วน (fragmented) ทำให้การตอบสนองต่อปัญหาล่าช้าและไม่ตรงจุด ทั้งที่ทรัพยากรและข้อมูลมีอยู่แล้ว
“แม้รัฐบาลมีเวลา 4 เดือน และประกาศ Quick Big Win ทำได้จริงหรือไม่ อะไรคือ priority…เป็นตัวพิสูจน์ trust and confidence ว่าเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ทุกภาคส่วนต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าภาคเอกชน รัฐ การเงิน เอกชนไม่ต้องขอรัฐอย่างเดียว และชี้นำว่าทักษะไหนสามารถแข่งขันได้ และมีรายได้ตอบโจทย์ครัวเรือน” นายผยง กล่าว
นายผยงกล่าวถึงข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม โดยยกตัวอย่างแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand ในฐานะเวทีการทำงานร่วมกัน (co-creation space) ที่ทุกภาคส่วนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเท็จจริง และทางออกได้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อต่อยอดสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเชื่อมั่นใหม่
“Reinvent Thailand คือฟอรั่มการทำงานแบบ agile และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ให้เกิดการถกเถียงเชิงสาธารณะที่สร้างสรรค์ มากกว่าจะปล่อยให้คนสร้างวาทกรรมไปชักจูงระบบและสร้างความรู้ที่บิดเบือนให้สาธารณะ นำไปสู่พฤติกรรมสาธารณะที่ไม่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ” นายผยง กล่าว
ปลดล็อกสกิล ‘AI’ ทางรอดแรงงานไทย 50 เด้ง
ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเมทริกซ์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า อนาคตประเทศไทยจะรอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการลงทุนกับสินค้าสาธารณะ (Public Goods) เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับตลาดแรงงาน และการเข้าถึงเทคโนโลยี AI อย่างทั่วถึง ซึ่งจะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงถึง 50 เท่า
“ทางออกที่คือ ความกล้า กล้าที่จะละทิ้ง ความคิดว่าไทยไม่เก่งพอ ไม่เคยทำ สู้ชาติอื่นไม่ได้ คนไม่พอ ทุนไม่พอ โครงสร้างไม่ดีพอ ทุกคนรู้หมด แค่ให้โอกาสตัวเองลองทำอะไรใหม่ๆ เร่งลงทุนใน Public Goods อย่างมีกลยุทธ์ ไม่สำคัญว่าจะลงทุนโดยใคร เพราะผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น 50 เท่าเกินพอสำหรับทุกคน” ดร.ณภัทร กล่าว

ดร.ณภัทรกล่าวถึงความท้าทายว่า แรงงานไทยเผชิญวิกฤติซ้ำซ้อน ทั้งจำนวนประชากรลดลง และผลกระทบจาก AI ที่อาจทำให้งานกว่า 80% หายไปใน 5 ปีหากไม่มีมาตรการรองรับ ดังนั้น ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างกลไกให้แรงงานเปลี่ยนผ่านไปสู่งานใหม่ แทนการคงงานเก่าแบบซอมบี้
ดร.ณภัทรกล่าวต่อว่า ประเทศไทยต้องหาวิธีทำให้ประชาชนเข้าถึง AI ง่ายที่สุด เช่น การอุดหนุนผ่านคูปอง โดยไม่จำกัดเชื้อชาติของผู้พัฒนาเทคโนโลยี เนื่องจากเอสเอ็มอีไทย 99.5% ต้องการเครื่องมือ AI เพื่อยกระดับผลิตภาพและมีโอกาสเติบโตเป็น ยูนิคอร์นในอนาคต
โดย ดร.ณภัทร ยกตัวอย่างธุรกิจทดลองที่ทำขึ้นใน 1 เดือนโดยใช้ AI ออกแบบครบวงจร ตั้งแต่แผนธุรกิจจนผลิตสินค้า “ยาดมกลิ่นความเจริญ” พร้อมขายจริงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อสะท้อนว่า AI สามารถเป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการได้จริง
ภาคเกษตรชะงักงัน ต้องใช้ ‘เทคโนโลยี’ สร้างการเปลี่ยนแปลง
ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งลิสเซินฟิลด์ (ListenField) กล่าวว่า ภาคเกษตรไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 0.23% ระหว่างปี 2555–2565 ขณะที่ช่องว่างรายได้ระหว่างแรงงานเกษตรกับนอกภาคเกษตรห่างกันถึง 5 เท่า ส่วนงบวิจัยมีเพียง 0.3–0.4% ของงบรวม ขณะเดียวกัน KPI ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยสภาพัฒน์ ตั้งเป้าให้ GDP ภาคการเกษตรโต 4.5% ต่อปี และรายได้ครัวเรือนเกษตรเกิน 537,000 บาท/ปี แต่ตัวเลขดังกล่าวนับเป็น “เป้าหมายที่ทะเยอทะยานมาก” และจะไปไม่ถึงหากยังติดคอขวดด้านการปฏิบัติ (execution)
“เราไม่เคยเดินตามแผนจนถึงเป้าหมายได้จริง มีแผนดีแต่ execution ไม่มา หากจะให้บรรลุ KPI ต้องเกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในเทคโนโลยีเกษตร และเอกชนต้องเข้ามาช่วยขับเคลื่อน” ดร.รัสรินทร์ กล่าว
ListenField จึงนำ ‘เทคโนโลยี’ เข้ามายกระดับภาคการเกษตรไทย ตัวอย่างเช่น โครงการที่ทำงานร่วมกับคูโบต้า พื่อวิเคราะห์ธาตุอาหารในดิน ช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างตรงจุด, โครงการร่วมกับ Unilever ภายใต้แนวทาง Regenerative Farming สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตกว่า 70% ให้เกษตรกรกว่า 2,000 และมีผู้รับซื้อให้ราคาพรีเมียมเพื่อจูงใจให้ทำตามมาตรฐานความยั่งยืน, โครงการที่ร่วมกับ ADB โดยให้เกษตรกรจัดการแปลงสมุนไพรเพื่อสกัดน้ำมันหอมระเหย เชื่อมข้อมูลย้อนกลับถึงผู้ซื้อออร์แกนิก เพิ่มรายได้ ราว 5,000 บาทต่อกิโลกรัม
“ทุกคนเห็นแต่ความมืดมิดหม่นหมองในภาคการเกษตร…อยากจุดประเด็นว่าบริษัทเล็กๆ อย่าง ListenField ยังจุดประเด็นการใช้เทคโนโลยีทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลง และเกษตรกร ‘รอด’ ได้จริง” ดร.รัสรินทร์ กล่าว
“แก้รัฐธรรมนูญ – ปรับกระบวนการทำงบฯ ใหม่ – ปฏิรูปการศึกษา” 3 โจทย์รื้อปัญหาเรื้อรัง
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า ประเทศไทยเผชิญปัญหาที่เรื้อรังมานาน ทั้งปัญหาระบบการเมืองที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ปัญหาการศึกษา ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน ไม่ใช่แค่ปัญหาจากความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันและความท้าทายใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายเรื่องเทคโนโลยี สังคมสูงวัย ภาวะโลกรวน
“ถ้าเราต้องการให้ประเทศไทยรอด สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการวางโครงสร้าง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ให้เท่าทันต่อความท้าทายใหม่ ๆ เพียงอย่างเดียว แต่เราต้องย้อนมาสะสางปัญหา จากโลกแห่งอดีตด้วยเช่นกัน” นายพริษฐ์ กล่าว
สำหรับแนวทางรอดของประเทศไทยนายพริษฐ์กล่าวว่า ต้องปรับเปลี่ยนผ่านการเขียนหนังสือใหม่ 3 เรื่อง ได้แก่
(1) การแก้รัฐธรรมนูญและปฏิรูปการเมือง เพื่อให้มีระบบการเมืองที่ดีขึ้น แม้การแก้รัฐธรรมนูญจะไม่ทำให้เศรษฐกิจจะดีขึ้นในทันที แต่รัฐธรรมนูญจะกำหนดสภาพแวดล้อมฝ่ายการเมืองและทำให้แก้ไขปัญหาได้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสร้างสถาบันการเมืองต่างๆ ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น รวมถึงมีนวัตกรรมเชิงนโยบายใหม่ๆ และทำให้รัฐบาลมีสมาธิและแรงจูงใจในการทำงาน ไม่เสียเวลารับมือกับนิติสงคราม
(2) การจัดทำงบประมาณด้วยกระบวนการแบบใหม่ เพื่อให้เงินภาษีของประชาชนถูกใช้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ทั้งด้านการเตรียมงบประมาณเพื่อรองรับปัญหาใหม่ๆ การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจและใช้งบประมาณพัฒนาพื้นที่ ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลที่สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้
(3) การจัดทำหลักสูตรการศึกษาใหม่ควบคู่กับการลงทุนยกกระดับทักษะของคนไปทำงาน เพื่อทำให้ประเทศมีทรัพยากรมนุษย์ ที่สามารถแข่งขันกับโลกเท่าทันการเปลี่ยนแปลงได้ โดยรัฐบาลต้องลงทุนกับเมกะโปรเจกต์ที่ทำให้แรงงานตรงกับความต้องการตลาดมากที่สุด