29 กุมภาพันธ์ 2567
เรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
พวกกระผมที่มีรายนามปรากฏท้ายหนังสือนี้ มีความเป็นห่วงในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่
เศรษฐกิจของชาติบ้านเมือง อันเนื่องมาจากนโยบายพลังงานในหลายๆเรื่องที่รัฐบาลของฯพณฯกำลัง
ขับเคลื่อนอยู่ จึงใคร่ขอเรียนให้ทราบถึงความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นดังต่อไปนี้
1. เมื่อรัฐบาลปัจจุบันเริ่มเช้าบริหารงาน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้สินจำนวน 48,000 ล้าน
บาท ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลให้หนี้สินจำนวนนี้ลดลงไปหรืออย่างน้อยก็ไม่เพิ่มขึ้น แต่ปรากฏว่า
เพียงแค่ 5 เดือนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2567 หนี้สินกองทุนน้ำมันฯได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เป็น 84,000 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะกระทรวงพลังงานได้กดราคาน้ำมันดีเซลลงจากลิตรละ 32 บาท
เป็นลิตรละ 30 บาท และได้ลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊ซโซฮอลลงอีกลิตรละ 2.50 บาท อันเป็นผล
ให้กองทุนฯ ต้องชดเชยราคาสำหรับน้ำมันดีเซลและลดการเก็บเงินเข้ากองทุนฯจากน้ำมันกลุ่มเบนซินและ
แก๊สโซฮอล รวมถึงตรึงราคา LPG ไว้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากปล่อยไปเช่นนี้ หนี้ของกองทุนน้ำมันก็จะ
เพิ่มสูงขึ้นไปอีกจนถึงเพดานหนี้ตามที่กฎหมายกำหนดกรอบไว้ขณะนี้ คือ 110,000 ล้านบาท
ในเวลาอีกไม่นานนัก การลดราคาน้ำมันลงเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าของรถก็จริง แต่เมื่อหนี้ของกองทุนฯ
เพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่งที่เกินความสามารถที่จะชำระคืน รัฐบาลก็คงต้องนำเงินจากภาษีที่เก็บจากประชาชนทั้ง
ประเทศไปล้างหนี้ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่าในส่วนของราคาน้ำมัน ประชาชนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถ ต้องมา
ช่วยแบกภาระหนี้แทนเจ้าของรถที่มีฐานะดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลที่ดีพึงระวังไม่ให้เกิดขึ้น
ในช่วงนี้ที่น้ำมันในตลาดโลกราคายังมิได้ผันผวนถึงขั้นวิกฤติ คือค่อนข้างนิ่งและมีแนวโน้มลดลง
มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2586 จนถึงปัจจุบัน จึงควรเรียกเก็บงินเข้าเพื่อมาคืนสภาพคล่องและลดหนี้ให้แก่กองทุนฯ
2. ในรัฐบาลที่แล้ว เมื่อราคาก๊ซธรรมชาติเหลว (ING) ในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมากอันเนื่องมาจาก
ภาวะสงครามในยุโรป รัฐบาลก่อนได้ชะลอการปรับคำไฟฟ้า Ftไว้เพื่อไม่ให้ค่ไฟฟ้าที่จะเก็บจาก
ประชาชนเพิ่มขึ้นในจำนวนสูงเกินไป โดยให้ กฟผ.รับภาระาคาก๊าซ LNG ที่เพิ่มสูงขึ้นไว้ก่อนแล้วจึงจะค่อย
ทยอยผ่อนคืน กฟผ.โดยการขึ้นค่า Ft ทีละนิดในงวดถัดๆไป
ณ สิ้นเดือน สิงหาคม 2566 หนี้ค่า Ft ที่ กฟผ.แบกรับไว้มียอดค้างอยู่ 110,000 ล้านบาท
พอรัฐบาลชุดใหม่รับงาน เป็นจังหวะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ) จะต้องอนุมัติปรับค่า
ฟฟ้า ซึ่งตั้งใจจะปรับลดจากงวดก่อนจากหน่วยละ 4.70 บาท เป็นหน่วยละ 4.45 บาท (ในงวดเดือน ก.ย.-
ธ.ค.2566) เพื่อให้พอมีเงินเข้ามาช่วยลดภาระหนี้ที่ กฟผ.แบกรับไว้ลงบ้าง ปรากฎว่ารัฐบาลใหม่กลับ
ประกาศกดราคาค่าไฟฟ้าลงไปอีกเหลือหน่วยละ 3.99 บาท ซึ่งมีผลให้ กฟผ.ต้องแบกรับหนี้เพิ่มขึ้นอีก ChiraK คือเพิ่มสูงขึ้นเป็น 137,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 หากปล่อยไปเช่นนี้ ในที่สุดก็คง
จะต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปล้างหนี้จำนวนนี้ให้กฟผ.เพื่อให้ กฟผ.ดำเนินกิจการต่อไปได้
รัฐบาลที่ดีย่อมจะต้องตระหนักว่ามีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลไม่ให้มีการหมักหมมปั
หมกหนี้ไว้ที่หน่วยงานของรัฐ และตั้งใจหามาตรการที่จะทยอยลดหนี้ใด้ตั้งแต่ที่ปัญหายังไม่หนักเกินไป
ก็จะสามารถสะสางปัญหาให้จบลงด้วยดีได้โดยไม่ต้องรบกวนภาษีของประชาชน
3. รัฐบาลไทยในอดีตได้ออกนโยบายที่เป็นคุณต่อสิ่งแวดล้อมในอากาศ คือ วางแผนให้มีการผลิต
น้ำมันคุณภาพสูงขึ้นเป็นมาตรฐาน Eur0 5 โดยได้มีการขอความร่วมมือและจูงใจให้โรงกสั่นในประเทศ
ทั้ง 6 โรง ลงทุนก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ปรับกระบวนการผลิตให้ได้น้ำมันคุณภาพ Euro s ซึ่งใช้
เงินลงทุนไปจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท พร้อมกันนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้ดำเนินการออก
าตรฐานถยนต์ใหม่ให้รองรับคุณภาพน้ำมันใหม่ และกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการออกม
คับใช้คุณภาพน้ำมันนี้ที่ลดกำมะถันลงให้เหลือไม่เกิน 10 ppm กับลดค่า NOx และฝุ่น PM
% ภายใน 5 ปี โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 โดยเป็นที่เข้าใจกันว่ากระทรวง
ปรับสูตรสำหรับคิดราคาน้ำมันอ้างอิงที่หน้าโรงกลั่นให้สะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อให้มี
ความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพสูงขึ้นเป็นระดับ Euros
ปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ ทั้งๆที่กระทงพลังงานได้ประกาศให้ใช้น้ำมันระดับ Euros แล้ว กระทรวง
พลังงานภายใต้รัฐบาลใหม่ยังนิ่งเฉย แสดงท่ทีไม่ยอมรับคุณภาพน้ำมันสะอาดใหม่นี้ โดยไม่พิจารณา
ปรับราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่นของเบ็นชิน/แก๊สโซฮอลและดีเซล จนภาคเอกชนคือสภาอุตสาหกรรมฯ
ต้องออกมาเรียกร้องขอให้ปรับสูตรราคาอ้างอิงดังกล่าว หากรัฐบาลเพิกเฉยไม่ทำอันใด ในที่สุดผู้ค้าน้ำมัน
ก็คงจะไม่ยอมรับในราคาอ้างอิงในแบบเดิมๆที่รัฐกำหนดและเลือกใช้วิธีกำหนดราคาขายหน้าปั๊มเอง
ซึ่งอาจมีผลเสียต่อผู้บริโภคมากกว่า และโรงกลั่นก็จะไม่ยอมลงทุนอะไรไปก่อนอีกตามที่รัฐขอความร่วมมือ
ในอนาคต นอกจากนี้ นโยบายของรัฐในสายตาของนักลงทุนก็จะขาดความน่าเชื่อถือและเสื่อมถอยลงด้วย
4. คุณภาพอากาศกำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ปัญหาของฝุ่นควันในต่างจังหวัดเกิดจาก
การเผาไร่และเผาบำเป็นสาเหตุใหญ่ ในขณะที่สาเหตุหลักของฝุ่นควันในอากาศบริเวณกรุงเทพฯ
และปริมณฑลก็คือควันพิษจากรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล เบนซิน และแก๊สโซฮอล
รัฐบาลในอดีตและปัจจุบันมีนโยบายที่จะกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้าสาธารณะหรือใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
V) เป็นพาหนะส่วนตัวเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาควันพิษในอากาศลงบ้าง แต่การลดราคาน้ำมัน
ต่ำลง ย่อมเป็นการกระตุ้นให้มีการใช้รถยนต์และถจักรยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างฟุมเฟือยและ
ก่อให้เกิดควันพิษมากขึ้น ดูเป็นนโยบายที่ขัดหรือย้อนแย้งกับเรื่องการดูแลคุณภาพอากาศและพลังงาน
สะอาดอย่างชัดเจน ทำให้ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลนี้มีความตั้งใจที่จะลดปัญหาควันพิษในอากาศเพื่อคุณภาพ
ชีวิตที่ดีของประชาชน กับจะส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จริงหรือไม่?
5. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 กระทรวงพลังงานใช้กลเม็ดการคิดเลขในการหาต้นทุนที่ต่ำลงสำหรับ
ก๊าซใน Pool Gas ที่ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า โดยมิได้เป็นการจัดหาและนำก็ซต้นทุนต่ำมาเพิ่มเติมใน Pool
Gas แต่อย่างใด กล่าวคือกระทรวงพลังงานปรับสูตรการคำนวนราคาก๊ซธรรมชาติใน Pool Gas
ใหม่ โดยนำราคาก๊ซธรมชาติจากอ่าวไทย ซึ่งมีราคาต่ำกว่าราคาก๊าซจากพม่าและก็ซLNG) ส่วนที่เคย
ส่งเป็นวัตถุดิบ ไปเข้าโรงแยกก๊ซเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์คืออีเทนและโพรเพนป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมปีโตรเคมี
เอามารวมคำนวณเป็นราคาใน Poo! Gas เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ยสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำลง ผลที่ตามมาก็
คือราคาของก๊าซส่วนที่แยกไปใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบในโรงแยกก๊ซ (GSP)เพิ่มสูงขึ้นทันที
ต่อการทำผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง และทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของปิโตรเคมีทั้งระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบ
ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากต้น
น้ำถึงปลายน้ำด้วย
นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ) มีอำนาจเพียงกำหนดอัตราค่าบริการก๊าซ
ธรรมชาติ ก็แต่เฉพาะก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นพลังงานเท่านั้น มิได้มีอำนาจกำหนดราคาก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบ
นโยบายที่มอบให้กกพ.นี้จึงสุ่มเสี่ยงที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ประเทศไทยใช้เวลามากกว่า 39 ปีในการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมปีโตรเคมี
และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอาทิ พลาสติก สิ่งทอ และะไหล่รถยนต์หลายพันกิจการ ก่อให้เกิดนิคม
อุตสาหกรรมระดับโลกขึ้นที่มาบตาพุด จ ระยอง และความโชติช่วงชัชวาลขึ้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
และช่วยทำให้ GDP และการส่งออกของไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งในปี 2564
กลุ่มปีโตรเคมีและกลุ่มแปรรูปพลาสติก มียอดขายรวมถึง 1.720,000 ล้านบาทหรือ
รายได้ประชาชาติของไทย มีการจ้างานรมกว่า 400,000 คน ตันทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมากทันทีเพราะการ
กำหนดสูตรราคาก๊าซใหมนี้จะกระทบอย่างรุนแรงตอความอยู่รอดของอุตสาหกรรมเหลำานี้อย่างแน่นอน
หากปล่อยไว้นานเกินไปจะกระทบถึงฐานะของกิจการจนต้องทยอยปิดลง กระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้าง
งานในระยะยาวได้
ผมเชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดผลเสียในลักษณะดังกล่าว และยังไม่สายเกินไปที่จะ
แก้ไขปัญหาในเรื่องนี้โดยการกลับไปใช้สูตรการคำนวนราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม
พวกกระผมเข้าใจดีว่ารัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้ผู้บริโภคได้ใช้น้ำมัน ก๊าซหุงตัม LPG และไฟฟ้า
ที่ราคาถูก แต่ในการดำเนินนโยบายเพื่อความตั้งใจดีนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงผลเสียที่เกิดขึ้นด้วย
พวกกระผมเห็นว่าผลเสียที่กำลังเกิดขึ้นใหญ่หลวงทีเดียว และจะขยายตัวอย่างรวดเร็วกับก่อ
กระทบในวงกว้าง จึงได้เยนหนังสือนี้ถึง ฯพณฯ ด้วยเห็นว่า *พณฯ เป็นคนเดียวที่สามารถใน
การปรับแก้นโยบายของกระทรวงพลังงานทุกเรื่องที่กล่าวถึงนั้นได้ พวกกระผมเห็นในความตั้งใจของ
ฯพณฯ ที่มุมานะพยายามทำงานให้ประเทศชาติอย่างเต็มกำลัง และมีความหวังว่า ฯพณฯ จะแก้ปัญหา
และหยุดยั้งความเสียหายต่อประเทศชาติ ในครั้งนี้ใด้
ขอแสดงความนับถือ
(หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล)
อดีตรองนายกรัฐมนตรี
(นายณรงค์ชัย อัครเศรณี)
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
(นายคุรุจิต นาครทรรพ)
อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน